

"ความลับทางการเงิน" ที่ธนาคารไม่อยากให้คุณรู้
"การทำธุรกิจที่ดีที่สุด "
คือไม่กู้ธนาคารและไม่ใช้เงินตัวเอง
อยากหยุด วงจรทำธุรกิจหาเงินให้ธนาคาร และหยุดความเสี่ยงที่ต้องขายบ้าน ขายรถ เพื่อมาทำธุรกิจ
อ่านหน้านี้ให้จบ

การระดมทุนทางธุรกิจ
มี 2 วิธีด้วยกัน
วิธีที่ 1 : การขายหุ้นเพิ่มทุน หรือ Private Placement
วิธีที่ 2 : การทำ ICO หรือ IDO ด้วย TOKEN

แบบที่ 1
ระดมทุนด้วยหุ้น
-
ออกหุ้นเพิ่มทุนโดยใช้กฏหมายนิติบุคคล
-
บริษัทจำกัดทุกประเภทสามารถทำได้
-
ราคาหุ้นอ้างอิงมูลค่าบริษัท
-
เงินที่ได้เป็นทุนของบริษัท ที่สามารถใช้ได้
-
เสนอขายได้ทั้งบุคคลทั่วไป/กองทุนหรือบริษัท

แบบที่ 2
ระดมทุนด้วย Token
-
ออกเหรียญผ่าน Smart Contract
-
ใช้กฏหมายทรัพย์สินดิจิตอล
-
เสนอขายผ่าน ICO Portal ที่ได้รับอณุญาติจาก กลต. เท่านั้น
-
ราคาเหรียญอ้างอิงจาก Liquidity Pool และ Market Price

" The world belong to those who read "
หากคุณอ่านบทความที่เราตั้งใจเขียนทั้งหมดอย่างละเอียด จะเปลี่ยนให้โลกในการทำธุรกิจของคุณไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
1 : แต่ละธุรกิจสามารถเลือกระดมทุนด้วยแบบใดแบบหนึ่ง หรือทั้ง 2 แบบก็ได้
2 : การขายหุ้นเพิ่มทุนเป็นที่นิยมสำหรับบริษัทจำกัด ที่ใช้วิธีนี้กันมาแล้วอย่างยาวนานทั้งในไทยและต่างประเทศ
3 : การระดมทุนด้วย ICO/IDO ผ่าน Token นั้นเป็นการเงินแบบใหม่ที่เกิดขึ้นภายใน 10 ปีที่ผ่านมา
4 : ทั้ง 2 แบบจะมีเงื่อนไข ข้อจำกัด และข้อดีข้อเสีย ที่แตกต่างกัน
5 : ยกตัวอย่างเช่น Tiktok ของ บริษัท Bytedance เป็นเพียง " บริษัทจำกัด " ที่ระดมทุนแบบการขายหุ้นเพิ่มทุนและมีมูลค่าบริษัทมากกว่า ปตทหรือ PTT ที่อยู่ในตลาดหุ้นของไทยถึง 4 เท่า ทำให้ Bytedance เป็นบริษัทจำกัดที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
6 : ยกตัวอย่างเช่น Real Toekn X ของบริษัทในเครือ Origin ของประเทศไทย ที่ทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ระดมทุนแบบ Investment Token [ ข้อมูลเพิ่มเติม กด ]

เพิ่มเงินลงทุนทางธุรกิจสำหรับบริษัท " จำกัด "
ด้วยการขายหุ้นเพิ่มทุน [ Private Placement ]

ทำไมคุณควร ขายหุ้นเพิ่มทุน
-
เปลี่ยนความฝันทางธุรกิจของเราเป็นมูลค่า "ที่คนอื่นมาร่วมลงทุนได้"
-
หลายคนมีเงิน "แต่ไม่รู้ทำอะไรดี" และหลายคนทำธุรกิจที่ดี " แต่เงินทุนไม่เพียงพอ"
-
ไม่เสียอำนาจในการบริหารและตัดสินใจทางธุรกิจ ด้วยการกำหนดสัดส่วนหุ้นที่ขาย ( Dilution Control )
-
สร้างชื่อเสียงและสะสมเครดิตทางธุรกิจของผู้ก่อตั้ง ผ่านการระดมทุนทั้งในไทย และต่างประเทศ เช่น flash express ที่ขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับ Alibaba สำเร็จ
-
ได้ใช้เงินของนักลงทุนทีี่ไม่มีต้นทุนทางการเงิน ( ดอกเบี้ย ) เพื่อนำมาเรียนรู้ ลองผิดลองถูก สร้างฐานทางธุรกิจเพื่อเติบโต
-
ลดความเสี่ยงทางธุรกิจ ด้วยเงินลงทุน ที่ไม่มีต้นทุน และไม่มีภาระดอกเบี้ย
-
ขาดทุนได้ก่อนเพื่อทำกำไรระยะยาว จากเงินของนักลงทุน เช่น GRAB ที่ขาดทุนถึง 9 ปี ก่อน IPO ที่มูลค่า 1 ล้านล้าน
-
นักลงทุนไม่กังวลกับการขาดทุน หากบริษัทเติบโตได้และมีมูลค่าทางธุรกิจมากขึ้นก็จะได้กำไรจากการลงทุนมหาศาลจาก Capital Gain โดยนำบริษัทเข้า IPO หลังจากขายหุ้นเพิ่มทุนแล้ว หรือวิธีอื่นๆ ที่ไม่ต้อง IPO ก็ได้ โดยเรียกว่า Exit Strategies
-
ไม่ต้องเอากำไรทางธุรกิจ "ที่อาจจะพอ หรือ ไม่พอ" มาลงทุนในโอกาศทางธุรกิจ ที่มีความเสี่ยง ซึ่งอาจทำให้กำไรหายไป โดยใช้เงินจากนักลงทุนแทน เช่น การลงทุนในเทคโนโลยีที่มีต้นทุนที่สูง
-
อาจทำให้บริษัทมีมูลค่า หลายพันล้าน หรือ หลายหมื่นล้าน ตั้งแต่เป็นบริษัทจำกัด
-
คัดเลือกคนทีคุณภาพมาร่วมธุรกิจหรือร่วมทำงาน โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่คนที่เราต้องการ และจะทำให้เราได้ทั้งเงินลงทุนและความสามารถของผู้ถือหุ้นที่หลากหลาย


ตัวอย่างคำถามที่พบบ่อยเ กี่ยวกับการขายหุ้นเพิ่มทุน

FAQ1
ทำไมคุณควรมีความรู้ เรื่องการขายหุ้นเพิ่มทุน
ความแตกต่างระหว่างผู้ก่อตั้ง ( Founder ) ธุรกิจในประเทศไทยและต่างประเทศคือ
# ผู้ก่อตั้งและบริษัทในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ซึ่งมีวิชาการเงินสอนในโรงเรียนตั้งแต่อายุ 7 ขวบทำให้ผู้ก่อตั้งบริษัทเข้าใจเรื่องการเงินเป็นอย่างดี ทำให้บริษัทต่างๆ ในสิงคโปร์ ใช้การเงินเชิงรุกในการทำธุรกิจ เช่น บริษัท Grab ที่ผู้ก่อตั้งเป็นนักการเงิน และได้วางโครงการการขายหุ้นเพิ่มทุนไว้ตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งบริษัท เพื่อสร้างมูลค่าบริษัทไปจนถึง 1 ล้านล้านก่อนเข้าตลาด และมีนักลงทุนยอมจ่ายเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนในมูลค่าที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนำเงินมาใช้ในการพัฒนาธุรกิจ เช่น บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น ยอมจ่ายเงิน 4,500 ล้านบาทลงทุนใน Grab TH แม้บริษัทจะขาดทุนอย่างต่อเนื่องก็ตาม เพราะ Grab มีแผนที่จะทำกำไรให้นักลงทุนด้วย Capital ที่กำหนดไว้แล้วอย่างชัดเจน
# ในขณะที่ผู้ก่อตั้งบริษัทในประประเทศไทยส่วนใหญ่ มักเกิดจากความชอบ ความชำนาญและความเชี่ยวชาญมาทำธุรกิจ โดยเราไม่ได้สอนการเงินสำหรับการเป็นเจ้าของธุรกิจในโครงสร้างการศึกษาเลย ทำให้บริษัทในประเทศไทยทำธุรกิจแบบใช้
การเงินเชิงรับ โดยไม่มีการกำหนดแผนการเงินและการระดมทุนไว้ล่วงหน้า และใช้การกู้เงินจากธนาคารเป็นหลัก จนธุรกิจเติบโตเป็นที่สนใจของนักลงทุนแล้วค่อยมาศึกษาหาวิธีต่างๆ ที่ไม่ได้อยู่บนโครงสร้างทางการเงินที่กำหนดไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งทำให้อำนาจการต่อรองในการลงทุนทั้งหมดขึ้นอยู่กับนักลงทุนเป็นหลัก เช่น Premium Price , Company Valuation เพราะนักลงทุนอยากใด้หุ้นมากที่สุดในราคาที่ถูกที่สุดอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องปกติของฝั่งผู้ซื้อหรือผู้ลงทุน ที่ต้องกำไรจาก Capital Gain ให้ได้มากที่สุด
#แต่เราในฐานะผู้ก่อตั้งที่เหนื่อยสร้างมาเกือบทั้งชีวิต
และไม่สามารถต่อรองอะไรได้มาก เพราะไม่มีความรู้ทั้งไม่ได้วางแผนการเงินในการขายหุ้นเพิ่มทุนไว้เลย หลายท่านที่ผมเคยเจอ มีหนี้ที่บริษัทเคยกู้มาในอดีต แต่นักลงทุนให้พลักไปเป็นของกรรมการ เพราะไม่อยากให้บริษัทขายหุ้นเพื่อใช้หนี้ อยากให้นำเงินไปทำธุรกิจมากกว่า ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่กรรมการหรือผู้ก่อตั้งที่ไม่เข้าใจเรื่องการเงินก็ต้องยอมรับไป เพราะอยากได้เงินจากนักลงทุนและต่อรองอะไรมากไม่ได้ บางคนขายยอมขายหุ้นเพื่อมาใช้หนี้ในอดีตเท่านั้นเอง แถมยังโดนลดสัดส่วนอีก ซึ่งกลายเป็นว่า เหนื่อยสร้างมาทั้งชีวิต สุดท้ายรางวัลที่ตัวเองควรได้รับกลับไปอยู่กับนักลงทุนที่เพิ่งเข้ามาตอนที่ธุรกิจเริ่มจะดีขึ้น ธุรกิจของคุณเป็นเพียงแค่เครื่องมือในการทำกำไร
ดังนั้นเจ้าของบริษัทและเจ้าของธุรกิจทุกท่าน ถึงแม้ยังไม่มีแผนการขายหุ้นเพิ่มทุนในเร็วๆนี้ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้และเข้าใจโครงสร้างที่เกี่ยวข้องสำหรับการขายหุ้นเพิ่มทุน เพราะถ้าสักวันหนึ่งธุรกิจของท่านเติบโตขึ้นและมีนักลงทุนสนใจ ท่านสามารถมีความรู้ในการเจรจาต่อรองได้
เพื่อให้ท่านจะไม่เสียเปรียบและเสียประโยชน์ที่สร้างธุรกิจมาอย่างเหนื่อยยาก

FAQ2
ทำไมบริษัท "จำกัด" ควรขายหุ้นเพิ่มทุน
-
เป็นเครื่องมือทางด้านการเงิน "อย่างเดียว " ของบริษัทจำกัด ที่จะได้เงินทุนแบบไม่มีดอกเบี้ย
-
นอกจากได้เงินลงทุนที่ไม่มีดอกเบี้ยแล้ว ยังได้ความสามารถทั้งทางตรงและทางอ้อมของผู้ถือหุ้นที่หลากหลายมาสนับสนุนธุรกิจด้วย
-
เป็นการลดความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ เพราะธุรกิจมีทั้งได้และเสีย (Risk Management)
-
ใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินมูลค่าบริษัท โดยการคำนวนจากราคาหุ้นที่ขายไปล่าสุด ที่นักลงทุนยอมจ่าย
-
เพื่อเริ่มวางแผนการเงิน และบัญชี ที่จะต่อยอดเป็น IPO ในอนาคตได้
-
ผู้ก่อตั้งบริษัท ที่ได้ผลตอบแทนจาก "Capital Gain" จากมูลค่าบริษัทและราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะ มีผลตอบแทนที่ดีกว่ากำไรจากธุรกิจ

FAQ3
หากบริษัทมีรายได้และกำไรดีอยู่แล้ว
ควรขายหุ้นเพิ่มทุนไหม?
บริษัทระดับโลกทุกบริษัท จะทำการขายหุ้นเพิ่มทุน ก่อนที่จะ IPO เสมอ
เช่น Grab ขายหุ้นเพิ่มทุนเพื่อนำเงินมาทำธุรกิจถึง 9 ปี ก่อนที่จะนำบริษัทเข้า IPO
และทั้ง Apple , Mircrosoft , Alibaba หรือบริษัทอื่นๆ ก็ขายหุ้นเพิ่มทุนตั้งแต่เป็นบริษัท " จำกัด " เช่นเดียวกัน
เพราะกำไรของธุรกิจอาจไม่เพียงพอที่จะขยายการลงทุนต่างๆ ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้เพื่อแข่งกับภาวะตลาดและหากเรานำกำไรทางธุรกิจมาลงทุนต่อ อาจทำให้บริษัทขาดสภาพคล่องและทำให้ต้องกู้เงินที่มีภาระดอกเบี้ย จนติดกับดักทางด้านการเงินในที่สุด
ดังนั้นการขายหุ้นเพิ่มทุนจะเป็นการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อทดแทนการกู้ธนาคาร และนำเงินที่ขายหุ้นได้มาลงทุนขยายธุรกิจให้เติบโตได้รวดเร็วขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องรอกำไรจากธุรกิจ เช่น Alibaba ขายหุ้นเพิ่มทุน จนเข้า IPO ที่มูลค่า 5 ล้านล้านบาท($167.62 billion ) และทำให้ Jack ma ที่เหลือหุ้นเพียง 8% ก่อนเข้า IPO กลายเป็นเศรษฐีอันดับ 1 ของจีนได้ หรือ Elon Musk ที่ถือหุ้นใน Tesla เพียงแค่ 26% ก็สามารถทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกได้
ซึ่งการขายหุ้นเพิ่มทุน นอกจากจะได้เงินเข้ามาลงทุนต่อยอดในธุรกิจแล้ว
ยังเป็นเครื่องมือในการประเมิณมูลค่าบริษัทจากราคาหุ้น เพื่อจะได้ทราบว่าผู้ก่อตั้งจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่จากหุ้นที่ถืออยู่ โดยการทำกำไรจากมูลค่าหุ้นจะได้มากกว่ากำไรจากธุรกิจด้วยซ้ำ
ดังนั้นต่อให้บริษัทของเรามีกำไรที่ดีอยู่แล้ว เราอาจใช้เครื่องมือการขายหุ้นเพิ่มทุนและ
ขายเพียงเล็กน้อยเพื่อมาตีตรา ตีมูลค่า ให้กับบริษัทและหุ้นที่เราถืออยู่ ว่านักลงทุน
ยอมจ่ายในราคาหุ้นละกี่บาท เราก็จะทราบว่า หุ้นที่เราถืออยู่จะมีมูลค่าเท่าไหร่
เมื่อคูณกับมูลค่าต่อหุ้นล่าสุดที่นักลงทุนยอมจ่าย
โดยเราจะเห็นได้ตามหน้าข่าวทั่วไป ในการจัดลำดับความร่ำรวยของบุคคลระดับโลก
จะคำนวนจากมูลค่าหุ้นที่ถืออยู่ ซึ่งไม่ได้คำนวนจากกำไรของบริษัทที่ทำได้

FAQ4
การขายหุ้นเพิ่มทุน เหมาะกับใคร?
การระดมทุนด้วยการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ PP (Private Placement) นั้น
ทุกบริษัท "จำกัด" และทุกประเภทธุรกิจ สามารถทำได้ และมีกฏหมายรองรับ จะเป็น SME , Start Up , บริษัทรุ่นสองที่ส่งต่อมาจากพ่อแม่ หรือ ธุรกิจอะไรก็ได้ ที่จดทะเบียนเป็น " บริษัทจำกัด " สามารถขายหุ้นเพิ่มทุนได้ทั้งหมด
ซึ่งในประเทศไทยเรามักจะเห็นตามหน้าข่าวแค่บริษัทที่เป็น Start Up มี Technology และ Application โดยใช้คำว่า " Unicorn " ซึ่งก็คือบริษัทมีมูลค่า 1 พันล้านเหรียญหรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท แต่นั้นเราอาจไม่ทราบได้ว่าเขาขาย [ หุ้นละกี่บาท ] [ บริษัทเขามีกี่หุ้น ]
ที่ ราคาหุ้นคุณกับจำนวนหุ้นแล้วกลายเป็น 30,000 ล้านบาท
เพราะเป็นบริษัทจำกัด ข้อมูลเหล่านี้เลยไม่ได้เปิดเผยกับสารธารณะ
ดังนั้นทุกธุรกิจที่จดทะเบียนเป็น " บริษัท จำกัด " สามารถขายหุ้นเพิ่มทุนได้ทั้งหมด โดยเราอาจต้องประเมิน 2 ส่วนดังนี้ ว่าเราเหมาะแค่ไหน
-
หากเราทำการขายหุ้นเพิ่มทุนไปแล้ว จะมีนักลงทุนสนใจที่จะลงทุนในธุรกิจของเราหรือเปล่า? เราต้องปรับเปลี่ยน หรือเพิ่มเติม Busness Model ให้ดูทันสมัยขึ้นไหม เช่นถ้าเป็นธุรกิจดังเดิม ซื้อมา ขายไป เราจะทำยังไง ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจค้าข้าว ถ้าไม่ใหญ่จริงจนเข้า IPO ก็อาจไม่มีนักลงทุนสนใจ แล้วตอนที่เป็นบริษัทจำกัด เราจะทำยังไง เพื่อสามารถขายหุ้นเพิ่มทุนได้ ก็คือการปรับปรุง Business Mode เพื่อดึงดูดนักลงทุนตั้งแต่เป็นบริษัทจำกัด นั้นเอง
-
ประเมินจุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส อุปสรรค์ ในด้านต่างๆ พร้อมทั้งความพร้อมภายในบริษัทของเราเอง ซึ่งแต่ละบริษัทและแต่ละธุรกิจจะมีความพร้อมและความต่างและความได้เปรียบที่ไม่เหมือนกัน
ก็คือการทำ SWAT Analysis และ Risk Management ขั้นพื้นฐานที่จะกระทบกับบริษัทและผู้ก่อตั้งหากทำการขายหุ้นเพิ่มทุน เช่นโครงสร้างผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งหลายบริษัทอาจถือหุ้นกับคนในครอบครัวหรือเพื่อน และถ้าเราทำการขายหุ้นเพิ่มทุน จะเกิดการ Dilution หรือลดสัดส่วนของผู้ถือหุ้นเดิมลง ซึ่งผู้ใหญ่ที่บ้านบางคนอาจไม่เข้าใจและอาจไม่ยอม ผมเคยเจอกรณีนี้เช่นกันกับลูกค้าบางท่าน ที่ต้องพยายามสร้างความเข้าใจให้ คุณปู่ คุณย่าที่ถือหุ้นเดิมของบริษัทอยู่ และใช้เวลาถึง 2 ปีกว่าจะเข้าใจและยอมรับ
ว่าหุ้นลดลงก็จริง แต่มูลค่าต่อหุ้นจะโตขึ้น

FAQ5
หากทำการขายหุ้นเพิ่มทุน
จะกระทบอำนาจในการบริหารและการตัดสินใจ
ทางธุรกิจของผู้ก่อตั้งหรือกรรมการหรือไม่ ?
กรณีศึกษาในอดีตเช่น Steve Job ที่เป็นผู้ก่อตั้ง Apple แต่โดนบอร์ดบริหารโหวตออก หรือ ผู้ก่อตั้ง Open AI / ChatGPT ที่ล่าสุดโดนบอร์ดบริหารโหวตออกเช่นเดียวกันแต่ก็กลับมาได้ เพราะ Microsoft ที่ถือหุ้นใหญ่สามารถค้านอำนาจบอร์ด บริหารได้ หรือผู้ก่อตั้งบริษัทในไทยหลายๆ คน ที่ขายหุ้นเพิ่มทุนแบบไม่วางแผนจนทำให้โดนแทรกแซงจากกลุ่มผู้ถือหุ้นและบอร์ดบริหาร
ซึ่งจริงๆ แล้ว การขายหุ้นเพิ่มทุนไม่ได้เป็นอุปสรรค์ที่จะทำให้อำนาจการบริหารหรือการตัดสินใจทางธุรกิจของกรรมการหรือผู้ก่อตั้งลดลง หากเรา
คำนวน Maximum Dilution หรือการกำหนดสัดส่วนการขายหุ้นเพิ่มทุน
เพื่อให้ผู้ก่อตั้งบริษัทนั้น ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ กล่าวคือ เรารู้ตั้งแต่แรกว่า เราจะขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมดจำนวนกี่หุ้นตลอดระยะเวลาของการระดมทุนของ Private Placement หรือที่ยังเป็น " บริษัทจำกัด " และเราควรได้เงินเข้ามาในบริษัทเท่าไหร่จากการขายหุ้นทั้งหมดที่กำหนดไว้
ดังนั้นความรู้เรื่องการขายหุ้นเพิ่มทุนเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเจ้าของธุรกิจทุกคน

FAQ6
เราสามารถขายหุ้นเพิ่มทุน ให้กับใครได้บ้าง ?
บริษัทที่ออกหุ้นเพิ่มทุน เพื่อขายในราคาที่สูงกว่าราคาพาร์ “ Premium Price “ นั้นสามารถขายให้กับใครก็ได้ ทั้งบุคคลธรรมดา / บริษัทที่เป็นนิติบุคคล / ธนาคาร / กองทุนต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการทำสัญญา ซื้อ-ขาย หุ้น ต่อกัน โดยขั้นต่ำที่ 1 หุ้น ตามกฏหมายกำหนด ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว บริษัทที่ออกหุ้นเพิ่มทุนนั้น จะทำการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมดและแบ่งขายเป็นรอบๆ ซึ่งแต่ละรอบจะมีราคา
ที่ไม่เท่ากัน หรือเรียกว่า " Premium Price / Series "
โดยราคาในรอบถัดไปมักจะมีราคาที่สูงขึ้นตามการเติบโตและมูลค่าของบริษัท
ตัวอย่างเช่น บริษัทออกหุ้นเพิ่มทุนมาทั้งหมดจำนวน 1,000,000 หุ้น ( หนึ่งล้านหุ้น )
โดยแบ่งเป็น 5 รอบรอบละ 200,000 หุ้น
รอบที่ 1 : 200,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 100 บาท = บริษัทผู้ขายหุ้นจะได้เงินจำนวน 20 ล้านบาท
รอบที่ 2 : 200,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 200 บาท = บริษัทผู้ขายหุ้นจะได้เงินจำนวน 40 ล้านบาท
รอบที่ 3 : 200,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 300 บาท = บริษัทผู้ขายหุ้นจะได้เงินจำนวน 60 ล้านบาท
รอบที่ 4 : 200,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 400 บาท = บริษัทผู้ขายหุ้นจะได้เงินจำนวน 80 ล้านบาท
รอบที่ 5 : 200,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 500 บาท = บริษัทผู้ขายหุ้นจะได้เงินจำนวน 100 ล้านบาท
ซึ่งจากตารางนี้ เป็นตัวอย่างทำให้เห็นว่า การถยอยขายหุ้นเป็นรอบๆ ที่ราคา Premium สูงขึ้นตามมูลค่าบริษัทนั้น จะทำให้บริษัทได้เงินลงทุนถึง 300 ล้านบาท
และการแบ่งการขายหุ้นทั้งหมดที่เราจะขายเป็นรอบๆ นั้น จะทำให้เราสามารถคำนวนหุ้นที่เสียไป และเงินที่จะได้เข้ามาอย่างชัดเจน เพื่อประเมินการโดนลดสัดส่วนแต่ละครั้งของผู้ถือหุ้นเดิม
ซึ่งเราจะทราบว่าหุ้นที่ขายเพิ่มทุนไปทั้งหมดนั้นกับเงินทุนที่ได้มานั้น จะทำให้เราโดนลดสัดส่วน ( Dilution ) เหลือเท่าไหร่ เราจำเป็นต้องทราบหุ้นเดิมที่เราถืออยู่ทั้งหมดและหุ้นทั้งหมดของบริษัท เพื่อมาคำนวนร่วมกันกับหุ้นที่เราได้ขายเพิ่มทุนไป

I'm a paragraph. Click here to add your own text and edit me. It's easy.
การขายหุ้นเพิ่มทุน แตกต่างและดีกว่า การกู้เงินจากธนาคารยังไง
ภาระทางการเงินและต้นทุนทางด้านการเงิน
-
การกู้ธนาคารมีภาระดอกเบี้ยที่แน่นอน หรือที่เรียกว่าต้นทุนทางด้านการเงิน ซึ่งสวนทางกับการทำกำไรของธุรกิจที่อาจไม่แน่นอน
-
การขายหุ้นเพิ่มทุน จะมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่าการกู้ธนาคารและไม่มีภาระดอกเบี้ยผูกพัน ส่วนการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามนโยบาย เช่นการกำหนดว่า 3 ปีแรกของการซื้อหุ้นจะไม่มีการจ่ายปันผล ซึ่งผู้ถือหุ้นโดยส่วนใหญ่จะคาดหวังกับส่วนต่างราคาหุ้นหรือที่เรียกว่า "Capital Gain" มากกว่าการจ่ายปันผล และหลายๆ บริษัทจึงไม่มีนโยบายการจ่ายปันผลเลยจน กระทั่งเข้าสู่กระบวนการ IPO
เครดิตและเครื่องมือทางด้านการเงิน
-
การกู้ธนาคารจะใช้รายการเดินบัญชี/ สัญญาทางธุรกิจ หรือหลักทรัพย์ในการค้ำประกันการกู้ซึ่งเป็นเครื่องมือทางด้านการเงินหลักและอาจเป็นเครื่องมือเดียวสำหรับบริษัท "จำกัด" ในอดีต
-
การระดมทุนด้วยการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ PP เป็นการใช้เครื่องมือทางด้านการเงินเพิ่มเติมของบริษัท "จำกัด" และเป็นการเรียนรู้พร้อมปูพื้นฐานเพื่อพัฒนาต่อยอดไปสู่ IPO ในอนาคต เช่น โครงสร้างบัญชีที่โปร่งใสเพื่อเปิดเผยให้แก่นักลงทุน, การบริหาร ธุรกิจที่มีการกำกับดูแลและมาตราฐานด้านต่างๆ เพื่อให้นักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบันยอมรับ
และมีความรู้ความเข้าใจเครื่องมือทางด้านการเงินอื่นๆ เมื่อเข้าสู่ IPO และตลาดทุนในอนาคต
การสนับสนุนทางธุรกิจ
-
การกู้ธนาคาร เราจะได้รับการสนับสนุนในบางเรื่องจากธนาคารในฐานะลูกหนี้ เพื่อให้บริษัทสามารถทำกำไรและใช้หนี้คืนพร้อมดอกเบี้ยให้กับธนาคารได้
-
การขายหุ้นเพิ่มทุน นอกจากเราจะได้เงินจากนักลงทุนแล้ว สิ่งที่อาจจะได้มากกว่าเงินลงทุน คือสายสัมพันธ์จากผู้ถือหุ้นและการช่วยเหลือจากผู้ถือหุ้นในมิติต่างๆ เพราะผู้ถือหุ้นทุกคน อยากให้บริษัทเติบโตและมีมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้น ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ บริษัทมีทรัพย์กรทั้งทางตรงและทางอ้อมจากผู้ถือหุ้นที่หลากหลายเพื่อช่วยผลักดันธุรกิจของเราให้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก เรียกได้ว่า ได้ทั้งเงินลงทุน ได้ทั้งทรัพยากรต่างๆ ของผู้ถือหุ้น เป็นแรงส่งเข้ามาในธุรกิจของเรา
ตัวอย่างบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการขายหุ้นเพิ่มทุน







หากเราทำการขายหุ้นเพิ่มทุน เราต้องใส่ใจเรื่องอะไรบ้าง
การขายหุ้นเพิ่มทุนนั้น กรรมการหรือผู้ก่อตั้งบริษัทจำเป็นต้องให้ความสนใจ 3 เรื่องดังต่อไปนี้
01
วินัยทางด้านการเงิน และความโปร่งใสของบัญชีบริษัทที่สามารถตรวจสอบได้
เมื่อเราขายหุ้นได้มาแล้ว เงินที่ได้มาจะเป็นการบันทึกในส่วนทุนของบริษัท
หรือเรียกว่า “ Source Of Fund “ และกรรมการลงนามจะนำเงินดังกล่าวไปใช้ในกิจกรรมของบริษัท หรือเรียกว่า “ Use Of Fund “
ซึ่งการใช้เงินของบริษัทต้องมีการบันทึกบัญชีและปิดบัญชีอย่างถูกต้องและตรวจสอบได้ หากกรรมการลงนาม นำเงินของนักลงทุนไปใช้ผิดประเภท และไม่โปร่งใสจะทำให้นักลงทุนในอนาคต ทั้งสถาบันการเงินต่างๆ ขาดความเชื่อมัน และตั้งคำถามกับกรรมการลงนาม จนนำไปสู่การขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและไม่สามารถขายหุ้นเพิ่มทุนต่อได้
ซึ่งจะทำให้นักลงทุนที่ได้ซื้อหุ้นมาก่อนหน้านี้จะเกิดความเสียหายไปด้วย และนำไปความล้มเหลวในการขายหุ้นเพิ่มทุน
02
นิติกรรม และกฏหมายที่เกี่ยวข้อง
กรรมการลงนามเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ถือหุ้นทุกคน ที่จะปกป้องและดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น และบริษัท ซึ่งแตกต่างจากบริษัทที่มีเจ้าของคนเดียว
ดังนั้น เอกสาร สัญญา และนิติกรรมต่างๆ ต้องรัดกุมในรายละเอียด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับกรรมการลงนามไปจนถึงบริษัทและผู้ถือหุ้นได้
03
การบริหาร และการจัดการภายในของบริษัท
บริษัทที่ไม่ได้ขายหุ้นหรือเป็นเจ้าของคนเดียว เราอาจเรียกตัวเองว่า “ เจ้าของ “ หรือ “ เถ้าแก่ “และอาจมีวิธีบริหารจัดการทางธุรกิจแบบเจ้าของเป็จุดศูนย์กลาง
แต่เมื่อเรามีการขายหุ้นเพิ่มทุน บทบาทของกรรมการลงนามจะเปลี่ยนไป เป็นสถานะ CEO หรือ ผู้บริหารมืออาชีพ ที่ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับหลักการบริหารธุรกิจแบบ Corporate เพื่อสร้างมาตราฐานที่รองรับการเติบโตได้มากขึ้น และเป็นการปรับโครงสร้างการบริหารด้านต่างๆที่จะเป็นแนวทางมุ่งสู่บริษัท “ มหาชน “ ในอาคต

การระดมทุนแ บบที่ 2 ด้วย ICO/IDO

การระดมทุน แบบ ICO ด้วย Token
ปัจจุบันการระดมทุนด้วยการขายเหรียญแบบ ICO หรือ IDO กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งในประเทศไทยเราได้เห็นหลายบริษัททำการออกเหรียญเพื่อระดมทุนสำเร็จไปแล้ว เช่น Real X Token ของบริษัท Origin Properties หรือ JFIN Coin ของบริษัท JMART
ซึ่งการออกจำหน่ายเหรียญหรือ Token ในประเทศไทยต้องทำบทกฏหมายทรัพย์สิน Digital และขายผ่าน ICO Portal ที่ได้รับอณุญาติเท่านั้น
ซึ่งผู้ที่สนใจที่จะระดมทุนแบบ ICO จำเป็นต้องศึกษา และวางแผนต่างๆ ที่จะสามารถจัดเตรียมได้อย่างครบถ้วนก่อนทำการเสนอขาย เพื่อลดความเสี่ยงในด้านต่างๆ ได้
ข้อดี ของการระดมทุนด้วยการทำ ICO/IDO
-
เปลี่ยนธุรกรรมของธุรกิจให้เป็นมูลค่า "ที่คนอื่นลงทุนได้" [ Utility Token ]
-
เปลี่ยนทรัพย์สินของธุรกิจให้เป็นมูลค่า "ที่คนอื่นลงทุนได้"
[ Investment Token ] -
เป็นการระดมทุนที่นักลงทุนสามารถลงทุนขั้นต่ำได้เพียงแค่ "10 บาท"
-
ใช้เทคโนโลยีในการระดมทุน ที่ทำให้สามารถเข้าถึงนักลงทุนรายย่อยได้ง่ายขึ้น
-
การระดมทุนด้วยเหรียญ แบบ IDO จะเกิด Investment Liquidity ได้ทันที
และนักลงทุนสามารถทำกำไร จากราคา ขึ้น-ลง ได้เลย โดยไม่ต้องรอเหมือนหุ้นที่ต้องเข้า IPO เพื่อให้มี Investment Liquidity -
นักลงทุนสามารถทำธุรกรรม ทั้งการซื้อเหรียญ และเปลี่ยนเป็นเงินสด ได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง
-
สามารถสร้างสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับนักลงทุนที่ซื้อเหรียญ ได้ง่ายกว่าหุ้น เช่น Airdrop, Coin Back, NFT Membership หรืออื่นๆ
-
ขั้นตอนการลงทุน "ง่าย" และซับซ้อนน้อยกว่า
-
บริษัทไม่เสียหุ้น ไม่เสียสัดส่วนความเป็นเจ้าของ (Dilution) ของผู้ก่อตั้ง
-
ไม่มีข้อผูกมัดทางนิติกรรม (ผู้ถือเหรียญ ไม่ได้อยู่ในทะเบียนผู้ถือหุ้น)
-
ผลประกอบการและมูลค่าบริษัทไม่สะท้อนราคาหรือมูลค่าของเหรียญ
.jpg)
ยินดีด้วย ที่คุณอ่านมาถึงตรงนี้
เพราะการอ่านเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ
Today a Reader Tomorrow a Leader

ห้องเรียนการเงินจะ ใช้เวลา 1 วัน
เรียนรู้ทั้งการขายหุ้นเพิ่มทุน และการทำ ICO/IDO
ท่านจะได้เรียน อะไรบ้าง
01.
เรียนรู้การขายหุ้นเพิ่มทุนอย่างละเอียด
02.
เรียนรู้การวางโครงสร้างบริษัทก่อนขายหุ้นเพิ่มทุน
03.
เรียนรู้การวางโครงสร้างหุ้นและ Dilution
04.
เรียนรู้การกำหนดราคาหุ้นและ Premium Price
05.
เรียนรู้ Business Model เพื่อการขายหุ้นเพิ่มทุน
06.
เรียนรู้เครื่องมือและวิธีการสื่อสารสำหรับการขายหุ้น
07.
เรียนรู้และเข้าใจ Token ประเภทต่างเพื่อ ICO/IDO
08.
เรียนรู้ Technology ที่จะใช้สำหรับ ICO/IDO
09.
เรียนรู้ Token Economy และ Liquidity Pool
10.
เรียนรู้ Customer และ In-House App สำหรับธุรกิจ

สิทธิพิเศษ เฉพาะท่านที่ได้เข้าห้องเรียนการเงิน
ซึ่งคุณจะหาไม่ได้จากการเรียนที่อื่น เพราะเราทำงานให้คุณด้วยหลังจากเรียนเสร็จ
ไม่ใช่แค่เรียน แต่ให้คุณสามารถ ใช้การเงินเชิงรุก ได้จริงๆ ในธุรกิจ
1 : วิเคราะห์ เพิ่มเติม หรือปรับปรุง Business Model ให้เหมาะกับการเงินเรื่องทุนมากยิ่งขึ้น
การคิด วิเคราห์ หรือปรับปรุง Business Model ท่านอาจต้องทำเองหรือต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญมาทำให้ แต่ปัญหาคือจะใช้ได้จริงๆ หรือเปล่า นำไปปฏิบัติต่อยอดได้ดีแค่ไหนและจะถูกใจนักทุนไหม ซึ่งงานส่วนนี้ เรามี Case Study ที่ทำมาแล้วมากกว่า 200 บริษัททั่วโลก และเราจะทำให้คนที่เข้าห้องเรียนการเงินเราเท่านั้น เป็นการทำ Business Model Workshop ให้แต่ละท่านหลังจากที่ท่านได้เรียนจบแล้ว ในวัน/เวลา ที่ท่านสดวก และไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ซึ่งการคิดวิเคราะห์ Business Model ที่ดี ต้องมองให้ครบ 360 องศาของธุรกิจหรือที่เรียกว่า Business Ecosystem สามารถเห็นทรัพย์สิน ( Aseet ) หรือทรัพย์สินที่ซ่อนอยู่ของธุรกิจได้และเข้าใจ Technology ต่างๆ พร้อมทั้งเข้าใจตลาดและนักลงทุน
ยกตัวอย่างเช่น มีบริษัทหนึ่งเป็นธุรกิจด้านงานอบรมและพัฒนาฝีมือแรงงานช่างเฉพาะทาง ซึ่งบริษัทมีข้อมูลของช่างเฉพาะทางในประเทศไทยจำนวนมาก ดังนั้นสามารถต่อยอดจากธุรกิจเดิมให้เป็น Head Hunter พร้อมกับ Job Board Application
และเป็น Market Place สำหรับงานสายช่างเฉพาะทาง ซึ่งในต่างประเทศแรงงานกลุ่มนี้ขาดแคลนและค่าตัวสูงมาก
และ HR Recruitement ในตลาดเช่น JobDB หรืออื่นๆ เป็นเพียงแค่คนทำงานในสาย Office หรือเรียกว่า " White Collar "
ยังไม่มี HR Recruiement ด้านช่างเฉพาะทางหรือ " Blue Collar " ในตลาดเลย หากเราพัฒนาต่อยอดจากธุรกิจเดิม เป็น HR Recruitement สำหรับ ช่างเฉพาะทางแล้วนั้น อาจเติบโตและมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทเหมือน JobDB ก็ได้
* รวมอยู่ในห้องเรียนการเงินแล้ว ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
2 : วางโครงสร้างบริษัทและโครงสร้างหุ้นก่อนการขายหุ้นเพิ่มทุน
การวางโครงสร้างบริษัทและโครงสร้างหุ้นไปพร้อมๆ กันเพื่อให้เป็นการเงินเชิงรุกนั้น ต้องใช้ความรู้หลายด้าน
ทั้งเรื่องกฏหมายและนิติกรรม พร้อมทั้งความรู้เรื่องการเงินและการคำนวนต่างๆ
ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะหาคนที่มีความรู้ทั้ง 2 อย่างๆ ไปพร้อมๆ กันมาทำให้ ซึ่งทุกท่านที่เข้าห้องเรียนการเงินของเราจะ
ทำ WorkShop เรื่องนี้ให้เป็นรายบุคคลหลังจากที่ท่านได้เรียนจบแล้ว ในวัน/เวลา ที่ท่านสดวก และไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
เพื่อให้ท่านเห็นตัวเลขและโครงสร้างที่สำคัญต่างๆ ก่อนตัดสินใจขายหุ้นเพิ่มทุนในอนาคต เช่น
1 : ทุนจดทะเบียนบริษัทควรเป็นเท่าไหร่
2 : ราคา Par ควรกี่บาทต่อหุ้น
3 : จำนวนหุ้นที่จะเพิ่มทุนเพื่อขาย จะมีจำนวนกี่หุ้น
4 : จะขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนกี่รอบ รอบละกี่หุ้น
5 : จะตั้งราคาหุ้น ( Premium Price ) หรือมูลค่าบริษัท ที่เท่าไหร่ในการขายหุ้นเพิ่มทุนแต่ละรอบ
6 : จะได้เงินทุนทั้งหมดเท่าไหร่ จากการขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมด
7 : ผู้ก่อตั้งเดิมจะโดน Dilution หรือลดสัดส่วนความเป็น เจ้าของเหลือเท่าไหร่ กับเงินที่ได้มาและหุ้นที่ขายออกไป ก่อนบริษัท IPO
8 : หากผู้ก่อตั้ง ( Founder ) มากกว่า 1 คน จะบริหารสัดส่วนยังไงเพื่อไม่ให้มีปัญหาในการบริหารและกระทบต่อธุรกิจในอนาคต
" และคำถามอื่นๆ อีกมากมายในเชิงโครงสร้างทางตัวเลขที่สัมพันธ์กันเพื่อตัดสินใจก่อนขายหุ้นเพิ่มทุน"
* รวมอยู่ในห้องเรียนการเงินแล้ว ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
3 : สิทธิขอใช้บริการด้านต่างๆ จากเรา แบบ One Stop Service
เหตุผลที่ห้องเรียนการเงินของเราแตกต่างจากการเรียนทั้วไป เพราะหลังจากเรียนแล้ว เรามีบริการสนับสนุนต่างๆ จาก
ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้คุณสามารถทำได้จริง แบบ One Stop Service Solutin
ไม่ใช่เรียนเพียงแค่รู้ แล้วแยกย้าย จ่ายเงินค่าเรียนแบบไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะถ้าคุณสำเร็จนั่นคือความสำเร็จของเรา
ซึ่ง One Stop Service Solution ของเรานั้น ไม่ได้เิปิดให้บริการแก่บุคคลทั่วไป เนื่องด้วยงานบริการด้านนี้ไม่สามารถ
ทำในเชิงปริมาณได้ แต่ละคนแต่ละบริษัทจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ทั้งเรื่องโครงสร้างการเงิน โครงสร้างบริษัทและแผนธุรกิจ
ดังนั้น งานบริการเกี่ยวกับการขายหุ้นเพิ่มทุนและการทำ ICO/IDO นั้นมีไว้สำหรับคนที่เรียนการเงินและทุนกับเราเท่านั้น
ซึ่งการทำงานด้านนี้ จำเป็นต้องใช้การทำงานในหลายด้านด้วยกัน เช่นการดำเนินงานด้านนิติกรรมต่างๆ ของบริษัทหรือนิติบุคคล / สัญญาผู้ถือหุ้นใหม่ / การนำผู้ถือหุ้นใหม่เข้าบัญชีผู้ถือหุ้น หรือการทำงานด้านการสื่อสารและเครื่องมือทางการตลาดเช่น การนำ Business Presentation เพื่อนำเสนอนักลงทุน การทำสื่อทั้งภาพนิ่ง และ Video ต่างๆ , การจัดทำ Company Website หรือการจัดทำ Business Plan & Feasibility Study ในการนำเสนอนักลงทุน หรืองานด้าน Technology ต่างๆ เช่น Customer Application ที่ใช้สำหรับรองรับลูกค้าที่ขยายขึ้น หรือ In-House Application ที่จะใช้สำหรับการบริหารจัดการภายในของบริษัทให้ดีขึ้นเพื่อให้คุณสามารถทำการขายหุ้นเพิ่มทุนได้ง่ายที่สุดและเร็วที่สุด
* อัตราค่าบริการต่างๆ ไม่ได้รวมในค่าเรียนห้องเรียนการเงิน
4 : สิทธิเข้าร่วม Lucky Club เพื่อสร้างและต่อยอด Connection ให้สำเร็จในระยะยาว
สมาชิกใน Lucky Club นั้นจะได้รับคัดเลือกจากคนที่เข้าเรียนห้องเรียนการเงินแล้วเท่านั้น เพราะการที่เราจะสร้าง Connection ที่ดีได้ ความรู้ทางด้านการเงินเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ
ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ว่า "เงินปะปนอยู่ในการขับเคลื่อนของทุกรูปแบบความสัมพันธ์"
ดังนั้นความรู้ทางด้านการเงินและทุนเป็นเรื่องที่จำเป็นในสร้างและเชื่อมความสัมพันธ์ ( Connection ) ให้เติบโตอย่างแข็งแรงบนเป้าหมายเดียวกันในระยะยาวได้ และทั้งความโชคดีหรือโชคร้ายที่เกิดขึ้นมี " ราคา " ที่ต้องจ่าย ไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนเวลา
ต้นทุนทางโอกาศ ต้นทุนการเงิน หรือแม้แต่ต้นทุนทางความรู้สึก ซึ่งการที่เราจะสร้างความโชคดีและสร้าง Connection ให้เกิดผลลัพธ์สูงสุดได้นั้น วิชาการเงินจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น
และการเชื่อมความสัมพันธ์กันทางธุรกิจ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคตยิ่งจำเป็นต้องเข้าใจเรื่องการเงิน
* ค่าสมาชิก Lucky Club ไม่ได้รวมในค่าเรียนห้องเรียนการเงิน
5 : สิทธิรับเชิญร่วมงาน Global Business Conference ร่วมกับกลุ่ม Lucky Club
ทุกท่านที่เข้าห้องเรียนการเงิน จะได้สิทธิรับเชิญเดินทางร่วมกันเป็นกลุ่มคณะ ( Group ) พร้อมกับสมาชิก Lucky Club
และท่านสามารถเลือกที่จะไปหรือไม่ไปงานไหนขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละท่านที่ไม่เหมือนกัน
ซึ่งการเดินทางไปต่างประเทศแบบ Business Trip ด้วยงานสัมนาทางธุรกิจและ Business Conference นั้น
เหมือนเราได้ทั้งไปเที่ยวและทำงานพร้อมๆ กัน หลายๆ คน รวมทั้งผมด้วย ถ้าหากให้ไปเที่ยวต่างๆ ประเทศ ก็เริ่มกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ เพราะลักษณะก็เป็นแบบเดิมๆ คือเข้าห้องพัก หาร้านอาหารอร่อย ถ่ายรูป ทำกิจกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งในแต่ละประเทศกิจกรรมเหล่านี้ก็ไม่ต่างกันมากนัก
แต่การที่เราจะได้ทั้งไปเที่ยวและธุรกิจในเวลาเดียวกัน จะเติมพลังให้เราได้มากกว่าด้วยซ้ำ เพราะเราจะได้เจอผู้คนใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยว เช่นถ้าเราไป 5 วัน เราอาจเที่ยวแค่ 2 วันก็เพียงพอแล้ว และอีก 3 วันร่วมงาน Business Conference
ก็จะเป็นรูปแบบการเดินทางที่ครบทุกมิติพร้อมกับประสบการณ์ใหม่ๆ
และ Connection ที่สร้างผ่านงานสัมนาทางธุรกิจและ Business Conference ในแต่ละประเทศทั่วโลกนั้น ถือว่าเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการพัฒนาเพื่อเป็น นักลงทุน คู่ค้าหรือเปิดโอกาศบางอย่างให้กับเรา เพราะทุกคนที่เจอในงานจะมีเป้าหมายเดียวกัน และแต่ละงานก็จะมีหัวข้อที่ชัดเจน ในการคัดกรองคนกลุ่มนั้นมาร่วมงานและเลือกไว้ให้เราแล้ว
* การเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ได้รวมในค่าเรียนห้องเรียนการเงิน

ทั้ง 5 ข้อที่ท่านได้อ่านมา พิเศษเฉพาะคนที่เข้าห้องเรียนการเงินกับเราเท่านั้น
ท่านสามารถกรอกข้อมูลเพื่อสมัครเข้าห้องเรียนการเงิน
และเราจะติดต่อกลับไปเพื่อสอบถามและพูดคุยเบื้องต้น
อย่าพลาดความโชคดีนี้ก่อนหมดเวลาลงทะเบียน
365d
24h
60m
60s
รับเพียง 30 ท่านต่อ Class
เราสามารถรับได้สูงสุดเพียง 30 ท่านต่อครั้งต่อเดือนเท่านั้น เพราะหลังจากจบ Class แล้ว เราต้องติดตามและทำงานด้านการวางแผนต่างๆ ให้ทุกท่านเป็นรายบุคคลต่อไป
วันเรียนครั้งถัดไป
วันเสาร์ที่ 23 กุมถาพันธ์ 2024 เวลาตั้งแต่ 9.00 - 18.00 โดยจะพักทานข้าวเที่ยง 1 ชม และมีอาหารค่ำหลังจากเลิกเรียนเป็น Dinner Party ให้ทุกท่านได้สร้าง Connection ต่อกัน
สถานที่เรียน
ห้อง Auditorim ที่สามารถจุได้ถึง 50 ท่านของโรงแรมซัมเมอร์เซ็ท เอกมัย กรุงเทพฯ
Google Map GPS : 13.72332990711751, 100.58673648835182
ราคา
50,000 บาทต่อท่าน
(Inc Vat) ชำระเมื่อยืนยันการเข้าเรียน และได้รับ Invoice
หากท่านไม่สามารถมาเรียนในวันที่กำหนดได้ ท่านสามารถเลื่อนวันเรียนได้อีก 2 ครั้ง